บ้านสำหรับทุกคน “Habitat for All”

บ้านผู้สูงอายุกับ 4 เคล็ดลับปรับพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต
บ้านผู้สูงอายุกับ 4 เคล็ดลับปรับพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับการใช้ชีวิต

จากสภาวะสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ การให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมบ้านให้เหมาะกับการเป็นบ้านผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากผู้สูงอายุมักใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ภายในบ้าน ลองมาดูเคล็ดลับปรับ 4 พื้นที่สำคัญของบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มักเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุมากที่สุด เพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยในบ้านของผู้สูงอายุให้สมบูรณ์ สะดวกและปลอดภัย
1. บ้านผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง
2. 4 พื้นที่สำคัญที่ต้องปรับสำหรับบ้านผู้สูงอายุ
3. บ้านผู้สูงอายุของหน่วยงานรัฐ
     – บ้านบางแค
     – บ้านเคหะกตัญญู
      – บ้านผู้สูงอายุบึงสะแกงาม

บ้านผู้สูงอายุต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

การออกแบบบ้านและปรับบ้านผู้สูงอายุให้เหมาะกับการอยู่อาศัยต้องคำนึงถึง 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. Safety ความปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม
2. Ease of use อุปกรณ์ต่าง ๆ ควรใช้งานง่าย สะดวกและออกแรงน้อย
3. Eligible ดีไซน์ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและข้อจำกัดของแต่ละบุคคล
4. Accessibility การจัดพื้นที่และอุปกรณ์ที่เอื้อต่อการเคลื่อนตัว หรือก้าวเดิน
5. Stimulation การฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาผ่านการจัดสภาพแวดล้อม
         นอกจากนี้ยังพบว่าในแต่ละปี 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักประสบปัญหาการหกล้ม และแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้นด้วย ซึ่งบริเวณที่เกิดการหกล้มบ่อย ได้แก่ ห้องนอน ห้องน้ำ พื้นที่ขึ้นลงบันได และภูมิทัศน์รอบบ้าน การปรับพื้นที่สำคัญของบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญของบ้านผู้สูงอายุ

4 พื้นที่สำคัญที่ต้องปรับสำหรับบ้านผู้สูงอายุ

1. ห้องนอน

ส่วนที่สำคัญของบ้านผู้สูงอายุอย่างหนึ่งคือ ห้องนอน เนื่องจากผู้สูงอายุใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องนี้ โดยห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุควรอยู่ชั้นล่างเพื่อลดการขึ้น-ลงบันได อยู่ในบริเวณที่มีความสงบ เป็นส่วนตัวและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
ห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ

– พื้น ควรปูด้วยวัสดุลดแรงกระแทกและไม่ควรมีพื้นที่ต่างระดับ เพื้อป้องกันการสะดุด และหกล้ม
– เตียงนอน เลือกขนาดให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ปรับระดับความสูงได้ มีราวจับข้างเตียง ฟูกที่นอนไม่แข็ง หรือนิ่มเกินไป พร้อมพื้นที่บริเวณข้างเตียง 90-100 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถเข้าไปดูแลได้และรองรับการใช้งานรถเข็น
– ภายในห้องนอน ติดตั้งราวจับบริเวณที่มีการลุกนั่ง มีไฟส่องสว่างอัจฉริยะที่สามารถเปิด-ปิดอัตโนมัติ
ด้วยการตรวจจับความเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำ เพื่อนำทางเดินจากเตียงนอนไปกลับห้องน้ำในยามค่ำคืน
– เฟอร์นิเจอร์ แนะนำให้มีโต๊ะข้างเตียงที่หยิบของได้สะดวก ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของควรมีระดับความสูงที่เหมาะสมกับผู้ใช้งาน
– ประตู ไม่ควรมีธรณีประตูเพื่อป้องกันการสะดุด เลือกแบบบานเลื่อนเปิด-ปิด ที่มีระบบรางแขวนด้านบนตัวล็อกใช้งานง่าย ใช้แรงน้อย

2. ห้องน้ำ

อีกหนึ่งห้องที่ควรให้ความสำคัญในบ้านผู้สูงอายุคือ ห้องน้ำเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการลื่นล้มสูง นอกจากการคำนึงถึงขนาดของห้องน้ำที่ควรกว้างอย่างน้อย 200 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้รถเข็นแล้ว ยังแนะนำให้มีการแบ่งพื้นที่โซนห้องน้ำเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
ราวจับรุ่นต่าง ๆ สำหรับติดตั้งในห้องน้ำของบ้านผู้สุงอายุ

– พื้นที่โซนแห้ง เลือกใช้อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังที่สามารถรองรับน้ำหนักการเท้าแขนของผู้สูงอายุ หรือเลือกอ่างแบบฝังครึ่งเคาน์เตอร์ เพื่อให้มีพื้นที่ใต้อ่างสะดวกต่อการใช้งานของรถเข็น ก๊อกน้ำควรเป็นแบบก้านโยก หรือก้านปัด ส่วนโถสุขภัณฑ์ควรเป็นแบบนั่งราบ มีระดับความสูงให้เหมาะสม ให้ลุกนั่งง่าย เท้าไม่ลอย และติดตั้งราวจับบริเวณข้างโถสุขภัณฑ์
– พื้นที่โซนเปียก ที่นั่งอาบน้ำที่มีความแข็งแรง ขนาดและความสูงเหมาะกับผู้สูงอายุ โดยฝักบัวควรติดตั้งอยู่บริเวณด้านข้างของที่นั่ง ก้านฝักบัวสามารถปรับระดับความสูงได้ เลือกใช้วาล์วเปิด-ปิดน้ำ ที่สามารถคุมอุณหภูมิได้ ติดตั้งราวจับบริเวณพื้นที่อาบน้ำ ที่สำคัญควรใช้กระเบื้องปูพื้นที่มีค่าความฝืดตั้งแต่ R10 ขึ้นไป เพื่อป้องกันการลื่นล้ม รวมไปถึงการติดตั้งราวจับโดยเฉพาะพื้นที่อาบน้ำ
ห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุที่แบ่งโซนเปียกโซนแห้ง


3. พื้นที่ขึ้นลงบันได

หากห้องนอนผู้สูงอายุอยู่ชั้นบน อาจทำให้ปวดเข่าเวลาขึ้น-ลงบันได หรืออาจสะดุดพลัดตกจากบันได ดังนั้นบ้านผู้สูงอายุจึงควรปรับบันไดให้มีความกว้างที่เหมาะสม ลูกตั้งบันไดสูงไม่เกิน 15 เซนติเมตร ลูกนอนกว้างอย่างน้อย 30 เซนติเมตร
บันไดที่ปรับให้เหมาะสำหรับบ้านผู้สูงอายุ

จมูกบันไดมีสีแตกต่างจากพื้นผิวของบันไดเพื่อให้สังเกตเห็นความแตกต่างของบันไดชัดเจน ควรมีราวบันไดทั้ง 2 ข้าง ในระยะ 80 เซนติเมตรจากพื้น และมีแสงสว่างให้เพียงพอ
นอกจากนี้ยังแนะนำให้ติดตั้ง “ลิฟต์บันได” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุ
แบบบ้านผู้สูงอายุ ควรจะมีลิฟต์ไว้สำหรับขึ้น-ลงบันได


4. ภูมิทัศน์รอบบ้าน

ทางเข้าบ้านและบริเวณสวน พื้นทางเดินควรเรียบ มีที่นั่งสำหรับชมธรรมชาติเป็นระยะ ที่นั่งพักควรมีราวจับ หรือเท้าแขน เพื่อช่วยในการพยุงตัวลุกได้สะดวก
ในกรณีที่มีทางลาดเข้าบ้าน ควรมีความชัน ไม่เกิน 1:12 มีพื้นที่ว่างหน้าทางลาดไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ใช้วัสดุพื้นผิวไม่ลื่น มีขอบกั้นและราวจับตลอดแนวทางลาด สำหรับความกว้างทางเดินควรกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตร เพื่อรองรับการใช้รถเข็น
นอกจากนี้ หากผู้สูงอายุชอบการทำสวน ควรเลือกการปลูกในกระบะที่ระยะความสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร หรือปลูกต้นไม้แบบสวนแนวตั้ง

Share:



เกษียณ…แซ่บ! Happy Retirement Ageing Gracefully

8 วิธีชีวิตดี! เกษียณสุขจนลืมวัย

ในที่สุดวันที่เกษียณอายุก็เดินทางมาถึง แม้ว่าทุกคนจะรู้และถูกกำหนดเวลาที่แน่นอนแล้ว แต่เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ หลายคนกลับกังวลอย่างไม่มีความสุขกับชีวิตที่ต้องเปลี่ยนแปลง พร้อมกับตั้งคำถามว่า…ฉันจะใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างไรดี

8 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณมีชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ      

1. อยู่กับปัจจุบัน : ลืมอดีตที่เคยรุ่งเรืองและอย่าไปคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้จิตใจกังวลห่อเหี่ยว ถ้าปลงไม่ได้ลองนั่งสมาธิหรือหางานอดิเรกทำเพื่อให้จิตใจสงบ

2. สุขภาพ : “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” ตอนหนุ่มสาวคำพูดนี้อาจยังไม่สำคัญ แต่เมื่อถึงวัยเกษียณซึ่งเป็นช่วงที่สังขารเริ่มร่วงโรย ความเจ็บไข้ได้ป่วยเริ่มถามหา ดังนั้นหลังเกษียณเป็นโอกาสดีที่จะได้หันมาดูแลสุขภาอย่างจริงจัง ทั้งเรื่องอาหาร การออกกำลังกายและการพักผ่อน

3. บริหารเงินอย่างรอบคอบ : เรื่องเงินๆ ทองๆ น่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวางแผนระยะยาว คือก่อนหน้าที่วันเกษียณจะมาถึง ควรเป็นเงินเก็บก้อนใหญ่พอสมควร เพื่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข ไม่จำเป็นต้องกังวลหรือต้องหารายได้พิเศษ   นอกจากนี้ควรบริหารเงินก้อนนี้อย่างรอบคอบโดยไปลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด เช่น ฝากประจำ ลงทุนในหุ้นเพื่อรับเงินปันผล ซื้อสลากออกสิน เป็นต้น ขณะที่รายจ่ายก็ควรแบ่งเป็นรายจ่ายรายเดือน รายจ่ายสำหรับการท่องเที่ยว รายจ่ายฉุกเฉิน เป็นต้น

4. วัยใฝ่หาความรู้ : ก่อนอายุ 60 ปี ถือเป็นวัยแห่งการเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์สร้างฐานะและสถานะทางสังคม เมื่อชีวิตเข้าสู่วันเกษียณก็ต้องเรียนรู้อีกเหมือนกันแต่เป็นการเรียนรู้เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิต เพราะการได้เรียนรู้ส่งใหม่ๆ จะช่วยให้สมองตื่นตัวรวมทั้งการได้สัมผัสกับสังคมใหม่ๆ ด้วย

5. ทำกิจวัตรประจำวัน : การเกษียณคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนและการใช้ชีวิตอิสระ หลายคนบอกว่าถ้าเกษียณจะนอนดูทีวีทั้งวัน แต่คุณสามารถทำเช่นนี้ตลอดไปได้ไหม ชีวิตคงจะน่าเบื่อไม่น้อย เนื่องจากมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น จึงควรจัดตารางเวลาทำกิจวัตรประจำวันของคุณให้ดูมีคุณค่ากับชีวิตดีกว่า เพื่อหาจุดสมดุลที่ดีระหว่างกิจกรรในบ้านเวลาว่างกับกิจกรรมนอกบ้านที่สร้างความสุขกับการมีปฏิสัมพันธ์กับคน

6ตั้งเป้าหมายชีวิตใหม่ : หากไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเดินไปทางไหนในช่วงวัยทำงานทุกคนมีเป้าหมายในอาชีพ เป้าหมายในการดำเนินชีวิต และต้องมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายนั้นให้ได้  พอถึงช่วงวัยเกษียณคุณควรรีเซ็ตเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องการทำงาน แต่เป็นเป้าหมายในสิ่งที่คุณชอบ ในสิ่งที่ใฝ่ฝันอยากจะทำแต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อีกแล้ว แต่เป็นเรื่องที่เน้นให้คุณมีความสุขมากกว่า

7. สนุกกับวัยเกษียณ : อย่าทำตัวเป็นคนแก่ที่ห่อเหี่ยวเฝ้าบ้านอย่างไร้คุณค่า เพราะอีกไม่นานคุณอาจเฉาตาย ลองลุกขึ้นมาทำกิจกรรมอะไรที่สร้างสีสันให้ชีวิตสดชื่น สนุกสนาน ไม่จำเจ เช่นนัดสังสรรค์กับเพื่อนเก่าเดือนละครั้ง หรือตั้งแก๊งค์เที่ยว ตั้งก๊วนไปชิมอาหาร เป็นต้น

8. มองโลกในแง่บวก : แม้คุณจะวางแผนชีวิตมาดีเพียงใด แต่บางครั้งชีวิตก็อาจไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวังก็ได้ ดังนั้นจงใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่นและมองโลกในแง่บวก เปิดใจกว้างยอมรับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา และปรับตัวให้มีความสุขกับมัน

ถ้าคุณทำได้ครบทั้ง 8 ข้อ คุณจะกลายเป็นคนเกษียณที่มีชีวิตอย่างมีความสุขให้คนอื่นอิจฉาทีเดียว 

 


Share:



เลี้ยงเดี่ยว…เลี้ยงดี/เลี้ยงเดี่ยวไหว ถ้าใจแข็งแรง Strong Single Parent

รวม 4 งานวิจัยเกี่ยวกับ “พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว”

สมัยเรียนตอนเด็ก ๆ เรามักได้ยินคุณครูสอนเสมอว่า ‘ครอบครัว’ จะต้องประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูก ซึ่งกลายเป็นการปลูกฝังว่าครอบครัวในอุดมคติจะต้องมีลักษณะเช่นนั้น แต่โลกปัจจุบันมีความสัมพันธ์ในรูปแบบที่หลากหลายไม่ได้ถูกตีกรอบแค่นิยามในอุดมคติเช่นนั้น แต่ละครอบครัวต่างมีรูปแบบความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตในแบบของตนเอง ในวันนี้เราจะมาพูดถึง “ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว”

 
ครอบครัวถือเป็นสถาบันทางสังคมพื้นฐานของมนุษย์ที่มีความสำคัญมากที่สุด ปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวล้วนเป็นดั่งกระจกสะท้อนสังคม และด้วยสังคมในปัจจุบันที่มีลักษณะของการเป็นครอบครัวที่หลากหลายอย่างครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวมากยิ่งขึ้น ซึ่งครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวโดยเฉพาะผู้ที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมักจะเผชิญกับการขาดความมั่นใจ ความภูมิใจในตนเอง มีความวิตกกังวลหรือความเครียดสูงต่อการเลี้ยงบุตรและภาระอื่น ๆ จากการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
การศึกษากระบวนการเสริมสร้างพลังของแม่เลี้ยงเดี่ยวสู่การเป็นจิตอาสา  งานศึกษาชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเส้นทางชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้ามารับบริการในมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ศึกษากระบวนการเสริมพลังของแม่เลี้ยงเดี่ยวสู่การเป็นจิตอาสา และศึกษาการเปลี่ยนผ่านของแม่เลี้ยงเดี่ยวสู่การเป็นจิตอาสา ซึ่งศึกษาและเก็บข้อมูลด้วยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อสุขภาพชุมชน จำนวน 5 คน และแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้ารับบริการในมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กรุงเทพมหานคร และมูลนิธิเพื่อสุขภาพชุมชน จังหวัดสุรินทร์ในระยะมากกว่า 1 ปี ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยืดหยัดได้ด้วยตนเอง และเป็นจิตอาสาของหน่วยงานมากกว่า 6 เดือน จำนวน 6 คน

ผลการศึกษาพบว่า เส้นทางชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยวในช่วงชีวิตก่อนแต่งงาน แม่เลี้ยงเดี่ยวในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสุรินทร์มีสถานภาพทางสังคมที่แตกต่างกัน ทั้งฐานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา และการประกอบอาชีพ ช่วงชีวิตแต่งงานแม่เลี้ยงเดี่ยวล้วนเห็นว่าการแต่งงานเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตคู่ของตนเอง แต่ช่วงชีวิตหลังแต่งงานกับประสบกับความไม่ราบรื่นของชีวิตคู่จนนำไปสู่การหย่าร้าง และการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

ช่วงชีวิตก่อนเข้ากระบวนการเสริมพลัง หลังการหย่าร้างแม่เลี้ยงเดี่ยวต่างมีความเครียดจนกระทบกับการดำเนินชีวิต แต่เมื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวก้าวเข้ากระบวนการเสริมพลังเพื่อต้องการหาหนทางในการแก้ไขปัญหา เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับการดูแลบุตร ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ร่างกายและสังคม ที่จะเสริมสร้างความภาคภูมิใจต่อตนเองในการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้มแข็งจากการเข้าร่วมมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กรุงเทพมหานครและมูลนิธิเพื่อสุขภาพชุมชน จังหวัดสุรินทร์

ขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นจิตอาสา หลังจากที่แม่เลี้ยงเดี่ยวได้เข้าสู่กระบวนการเสริมพลังจนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับการดำเนินชีวิตของตนเอง จึงนำประสบการณ์ชีวิตของตนเองและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเข้าร่วมกระบวนการเสริมพลังมาเป็นแรงขับเคลื่อนในการช่วยเหลือแม่เลี้ยงเดี่ยวคนอื่น ๆ ภายใต้การเป็นจิตอาสาช่วยงานของมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และมูลนิธิเพื่อสุขภาพชุมชนด้วยความเต็มใจ การเป็นจิตอาสาของแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นก่อให้เกิดการเห็นคุณค่าของตนเอง การได้รับการยอมรับจากผู้อื่น จึงทำให้การดำเนินชีวิตในบทบาทของแม่เลี้ยงเดี่ยวของตนเองอุดมไปด้วยความเข้มแข็งและความภาคภูมิใจ
ประสบการณ์ด้านจิตใจของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวในการเลี้ยงดูบุตร : การศึกษาเชิงคุณภาพ

ครอบครัวเปรียบดั่งสถาบันทางสังคมที่มีอิทธิพลแรงกล้าต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางสังคมของประชากร แต่ด้วยโครงสร้างทางสังคมปัจจุบันที่มีลักษณะของการเป็นสังคมอุตสาหกรรมจึงทำให้สถาบันครอบครัวถูกปรับเปลี่ยนจากลักษณะครอบครัวขยายกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากยิ่งขึ้น การใช้ชีวิตต้องเผชิญกับการแข่งขัน ดิ้นรนเพื่อให้อยู่รอดอยู่ตลอดเวลาจนส่งผลให้หลากหลายครอบครัวไม่สามารถดำรงบทบาทหน้าที่ตามสถาบันครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์ และนำไปสู่ครอบครัวที่แตกสลายกลายเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวในที่สุด

งานศึกษาชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาและอธิบายประสบการณ์ด้านจิตใจของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวในการเลี้ยงดูบุตร โดยอาศัยการศึกษาด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแนวปรากฎการณ์วิทยาในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เข้าร่วมและไม่ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาเครือข่ายครอบครัวของมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวที่สามารถข้ามพ้นปัญหาต่าง ๆ ภายในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวของตนเอง จำนวน 10 คน

ผู้ศึกษาแบ่งประเด็นศึกษาออกเป็น 3 ประเด็นหลักคือ ความทุกข์จากการสูญเสียคู่ครอง การดูแลจิตใจให้คลายความทุกข์ใจ และชีวิตที่งอกงามหลังผ่านวิกฤตการณ์ครอบครัว ซึ่งได้ข้อสรุปผลการศึกษาว่า การหย่าร้างกับคู่ครองก่อให้เกิดความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับไม่ได้ การเสียใจ การผิดหวัง มีความน้อยเนื้อต่ำใจต่อโชคชะตาของตนเอง และมีความวิตกกังวลกับการดำเนินชีวิตในอนาคต

วิธีการดูแลเยียวยาจิตใจจากความทุกข์ใจที่เป็นเหตุมาจากการหย่าร้างพบว่า พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวต่างพยายามแสวงหาสิ่งยึดเหนียวจิตใจ ฝึกกำหนดจิตใจให้สงบ มุ่งเป้าความสนใจไปกับการทำกิจกรรต่าง ๆ หรือการทุ่มเทกับการทำงานของตนเอง และการขอความช่วยเหลือทางจิตใจจากบุคคลอื่น อย่างไรก็ตามหลังจากพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวประสบความสำเร็จในการข้ามผ่านวิกฤตการณ์ครอบครัวจนกลายเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวถือเป็นการเรียนรู้มิติใหม่ด้วยการอาศัยประสบการณ์ ปัญหา เรื่องราวชีวิตของตนเองทั้งสิ้น และสามารถใช้ชีวิตยืนหยัดกับโลกความเป็นจริง และมีมุมมอง ความคิดในการดำเนินชีวิตที่ยึดอยู่กับปัจจุบันในทิศทางเชิงบวกมากยิ่งขึ้น

ลักษณะและรูปแบบการดำเนินชีวิตของมารดาในครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว

การเป็นคนที่สมบูรณ์ได้นั้นย่อมก่อเกิดมาจากสถาบันครอบครัวที่เป็นพื้นที่ในการเรียนรู้ ถ่ายทอด ซึมซับ หล่อหลอมเรื่องราวทางสังคมผ่านตัวบุคคล ๆ หนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นคนคุณภาพของสังคม แต่ด้วยการดำเนินชีวิตที่ถูกอิทธิพลจากสังคมตะวันตกครอบงำด้วยค่านิยมการอยู่ก่อนแต่งที่ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงของการเป็นครอบครัวและนำพาไปสู่การเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ตามมาด้วยปัญหาทางจิตใจ การปรับตัว การดำเนินชีวิต

งานศึกษาชิ้นนี้เป็นการศึกษาภายใต้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นสมาชิกมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานคร โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่เป็นทางการและสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วมกับครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นสมาชิกมูลนิธิเครือข่ายครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 15 คน ทั้งแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีที่มาของการกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างกลุ่มการหย่าร้าง กลุ่มการแยกทางกัน กลุ่มการเป็นหม้ายจากการเสียชีวิตของสามี และกลุ่มการเป็นมารดานอกสมรส และกลุ่มอื่น ๆ ที่มีการรับบุตรบุญธรรม ถูกปัดความรับผิดชอบ ถูกทอดทิ้ง

ผู้วิจัยได้ข้อค้นพบว่า ในมิติภูมิหลังทางครอบครัวของกลุ่มตัวอย่างแม่เลี้ยงเดี่ยวมีอายุน้อยสุดอยู่ที่ 38 ปี และอายุมากสุดอยู่ที่ 53 ปี ดำรงบทบาทเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวระยะเวลานานสุด 18 ปีและน้อยสุด 1 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาโทเป็นระดับการศึกษาสูงสุด โดยแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยังดำรงสถานภาพโสด มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนถึง 3 หมื่นบาท และมีบุตรที่ต้องเลี้ยงดูอยู่ที่ 1 คน

อีกทั้งการกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมีสาเหตุมาจากการหย่าร้างและสามีเสียชีวิต ต่อมาในมิติด้านความเป็นอยู่พบว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากช่วงก่อนการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ที่ลดลงตามภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต สภาพจิตใจที่บอบช้ำจากความเครียด ความกังวลที่สะสมในระยะหนึ่งแต่ก็ยังคงยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิตตนเอง เพียงแค่ต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับตัว ชีวิตการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวจำสามารถดำเนินได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ด้านการรับผิดชอบเลี้ยงดูบุตร แม่เลี้ยงเดี่ยวจะมีการจัดสรร วางแผนทางการเงินสำหรับบุตร สนับสนุนด้านการศึกษาและการนันทนาการแก่บุตร และต้องการทุ่มเทความใส่ใจ สรรหาเวลาในการมีส่วนร่วมกับบุตรผ่านการร่วมกิจกรรมด้วยกันให้เป็นไปได้มากที่สุด
สถานการณ์ครอบครัวไทย : กรณีศึกษาครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร

การเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลากหลายมิตินั้นล้วนส่งผลกระทบอย่างยิ่งกับสถาบันครอบครัวที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเสมอ จึงส่งผลให้ความสัมพันธ์หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ภายในครอบครัวไม่เหนียวแน่นดั่งอดีตและกลายเป็นปัญหาที่หนักหนามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ การหย่าร้าง การอยู่ร่วมกันก่อนการสมรส การครองสถานภาพโสด การเลี้ยงดูบุตรตามลำพังหรือการเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่จากข้อมูลสถิติการหย่าร้างของสังคมไทยพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

งานศึกษาชิ้นนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อศึกษาสาเหตุในการเป็นครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เพื่อศึกษาบทบาทของผู้ที่เป็นพ่อหรือแม่หลังจากเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เพื่อศึกษาผลจากการเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปที่มีต่อครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยอาศัยวิธีวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงสำรวจ ในการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลจำนวน 10 คน และใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปที่มีต่อครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวจำนวน 500 คน

ผลการศึกษาพบว่า การเป็นครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวมีสาเหตุมาจากการหย่าร้าง รองลงมาคือคู่สมรสเสียชีวิต และการแยกทางที่ละทิ้งบุตรให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลี้ยงดูตามลำดับ ขณะที่บทบาทของผู้ที่เป็นพ่อหรือแม่หลังจากดำรงสถานภาพเป็นครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวพบว่า ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวจะเผชิญกับความตึงเครียดในหลากหลายมิติมากกว่าครอบครัวปกติ และผลจากการเลี้ยงดูบุตรจากครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวกลับพบว่ามีความเหนื่อยยากและลำบากในการอบรมเลี้ยงดูบุตรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตได้เสมือนครอบครัวปกติ ถึงแม้จะถูกอบรมเลี้ยงดูจากการมีพ่อหรือแม่เพียงลำพังก็ตาม ซึ่งบุตรในแต่ละครอบครัวล้วนมีประสบการณ์ การปรับตัว การเรียนรู้ และการจัดการร่างกาย จิตใจ อารมณ์ที่แตกต่างกันตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้ประสบพบเจอ อย่างไรก็ตามความคิดเห็นของบุคคลทั่วไปที่มีมุมมองต่อครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวพบว่า บุคคลทั่วไปในสังคมไทยส่วนใหญ่ให้การยอมรับบทบาทและสถานภาพของผู้ที่ดำรงสสถานภาพเป็นพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยวที่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ มากกว่าการไม่ยอมรับที่มักมองว่าเด็กที่เติบโตมาจากพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวนั้นจะมีปมด้อย เป็นเด็กมีปัญหา ไม่สามารถเข้ากับบุคคลอื่น ๆ ในสังคมได้


Share:



ขอประชาสัมพันธ์ “ข่าวกองทุนผู้สูงอายุ” เบี้ยเพิ่มทุน บุญเพิ่มโอกาส

“ข่าวกองทุนผู้สูงอายุ” เบี้ยเพิ่มทุน บุญเพิ่มโอกาส

   ขอเชิญชวน ร่วมโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ

ผู้บริจาคเบี้ยผู้สูงอายุจะได้รับ

  1. เหรียญพระคลังเชิดชูเกียรติ

 2. สามารถนำใบเสร็จไปหักลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า


Share:



Social media & sharing icons powered by UltimatelySocial